นิทานเตือนสติเรื่องแตงโมครึ่งซีก

#นิทานเตือนสติเรื่องแตงโมครึ่งซีก

#เพื่อความสุขของครอบครัวและคนรอบข้าง

บ่ายวันหนึ่ง ผมเลิกงานกลับบ้าน ร้อนจนเหงื่อโชก เปิดตู้เย็น พบแตงโมแช่เย็นอยู่ครึ่งซีก ดีใจจนคว้าออกมา แทะกินจนเรียบ
.
ขณะนั้นเอง ภรรยาผมก็กลับมาถึงด้วย พอเข้าประตูได้ก็บ่น “กระหายน้ำ ร้อนมาก!” เธอเปิดตู้เย็น และชะงัก
.
ผมบอกเธอว่า แตงโมซีกนั้นผมกินไปแล้ว สีหน้าเธอมีแววไม่พอใจ รีบเอาถ้วยไปรินน้ำ หยิบกระติกขึ้นมา ก็พบว่าในกระติกแห้งสนิท
.
เธอพูดขึ้นมาทันที “เธอกลับบ้านมาก่อนทำไมไม่ต้มน้ำไว้บ้าง มัวทำอะไรอยู่?”
.
ผมโกรธบ้าง “ทำไมอะไรก็ต้องให้ฉันทำ?”
.
เราสองคนทำสงครามเย็นกันอยู่เป็นอาทิตย์จึงยอมคืนดีกัน
.
วันเสาร์ ผมกลับบ้านพ่อแม่ไปคนเดียว พอเห็นหน้า ทั้งคู่ก็ถามว่า “ทำไมไม่เห็น ‘เมตตา’ ภรรยาของลูกเลยอาทิตย์นี้?” ผมเล่าเรื่องที่โกรธกันให้ฟัง
.
แม่ฟังแล้วตำหนิผม “ทำอะไรไม่ควรห่วงแต่ตัวเอง ควรใส่ใจคนอื่น”
.
ผมไม่เห็นด้วย “แค่กินแตงโมไปครึ่งซีก จะอะไรนักหนา?”
.
พ่อหัวเราะ “แกไม่ต้องแก้ตัว พรุ่งนี้วันอาทิตย์ พากันมากินข้าวที่นี่”
.
รุ่งขึ้น ผมพาครอบครัวมาหาพ่อแม่ พอเข้าบ้าน พ่อก็ใช้ผมไปซื้อน้ำส้มสายชู พอผมกลับมา พ่อบอกว่า ‘เมตตา’ พาลูกออกไปข้างนอก
.
บอกแล้วพ่อก็เอาแตงโมครึ่งซีกมาให้ผม “แกร้อนซะเหงื่อโชก กินแตงโมดับกระหายหน่อยเถอะ” แตงซีกนั้นใหญ่ทีเดียว น่าจะหนักราวกิโลสองกิโลได้ พ่อส่งช้อนให้คันหนึ่ง “กินไม่หมดก็เหลือไว้ให้เมียแกกลับมากิน”
.
ผมหยิบช้อนแล้วก็ตักกินใหญ่ กินไม่ถึงครึ่งก็พุงกาง
.
หลังกินอาหารเที่ยง พ่อเอาแตงโมงสองซีกออกมาวางบนโต๊ะ บอกผมว่า “แกดูทีรึว่า มันต่างกันตรงไหน?”
.
ผมงง ดูอย่างละเอียด ซีกหนึ่งเป็นซีกที่ผมกินไป อีกซีกก็ถูกกินไปด้วย ดูอยู่ครู่ใหญ่ก็ไม่เห็นว่ามันต่างกันอย่างไร จึงส่ายหัว
.
พ่อชี้ให้ดูแตงแล้วอธิบายว่า “ซีกนี้แกกิน อีกซีกนี่ ‘เมตตา’ กิน พ่อบอกแกทั้งสองว่า ถ้ากินไม่หมดให้เหลือไว้ ดูสิว่าเมียแกใช้ช้อนยังไง?
.
เธอเริ่มตักจากตรงกลาง กินไปถึงขอบครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งไม่ถูกแตะต้อง แล้วดูของแกนี่ แกควักกินเนื้อตรงกลางจนหมด เหลือขอบไว้ให้คนอื่น ใครบ้างที่ไม่รู้ว่าเนื้อแตงโมหวานตรงกลาง?
.
จากเรื่องเล็กๆเรื่องนี้ ก็เห็นได้ว่า ‘เมตตา’ มีใจใหญ่กว่าแกมาก”
.
ผมหน้าแดงทันที พ่อพูดอย่างมีความหมายว่า
.
“คนสองคนอยู่ด้วยกันไปตลอดชีวิต จะมีเรื่องสำคัญอะไรนัก? ความรักความใส่ใจระหว่างผัวเมียอยู่ที่ไหน? มันก็อยู่ในน้ำมันหยดเดียว ข้าวช้อนเดียว น้ำแกงทัพพีเดียว
.
คราวก่อนแกโกรธกันเรื่องกินแตงโม แล้วยังมีข้ออ้างมากมายทั้งที่เป็นฝ่ายผิด ถ้า ‘เมตตา’ เป็นฝ่ายกลับถึงบ้านก่อน รับรองว่าเธอจะต้องเก็บไว้ให้แกครึ่งหนึ่ง อย่าคิดว่านี่เป็นเรื่องเล็กที่ไม่สำคัญ
.
แต่มันสะท้อนให้เห็นหัวใจคน แตงโมชิ้นเดียวนั่นแหละให้ความรู้ในการใช้ชีวิตประจำวัน
.
หัวใจคนต่อให้เย็นชาแค่ไหน แกค่อยๆ ให้ความอบอุ่น มันจะร้อนขึ้นสักวัน…
.
แต่หัวใจที่ต่อให้ร้อนแค่ใหน แกสาดน้ำเย็นใส่ทีละช้อนทีละช้อน สักวันก็จะทำให้เย็นชาลงโดยสมบูรณ์…
.
คิดดูนะ ถ้า ‘เมตตา’ เป็นเหมือนแก ทำอะไรไม่เคยใส่ใจ นานวันเข้า แกจะรู้สึกยังไง?”
.
คำพูดคำเดียวนั้นปลุกคนตื่นโดยแท้ ผมพบในทันใดว่า รองเท้าแตะที่วางไว้ให้ทุกวันเมื่อกลับถึงบ้าน น้ำชาที่ชงไว้ให้ ร่มที่วางหน้าประตูยามฝนตก
.
ล้วนแล้วแต่เป็นความรักความใส่ใจของ ‘เมตตา’ แต่ผมกลับไม่เคยเห็น ไม่รู้จักเอาใจเขาใส่ใจเรา …
.
คิดแล้วก็ละอาย รีบยกชามเกี๊ยวมาให้ ‘เมตตา’ แล้วบอกว่า “เธอกินก่อนเถอะ”
.
เธอหัวเราะ “ไม่ต้องมาทำไก๋ต่อหน้าพ่อกับแม่”
.
พ่อก็หัวเราะ “ถ้าทำไก๋อย่างนี้ได้ทั้งชีวิตก็ถือว่าเป็นสามีที่ดี”
.
ในใจมีรัก #ความรักนั้นต้องให้กันและกัน เราพึงใส่ใจอีกครึ่งของเรา อย่าคิดว่าทุกปัญหาเป็นการหาเรื่องโดยไร้เหตุผล ลองคิดถึงความผิดของตนดู…
.
ใช้ชีวิตธรรมดาของตนให้ดี ปล่อยให้คนอื่นเฟื่องฟูไปเถิด
.
#ความสุขไม่ได้อยู่ที่บ้านใหญ่เพียงใดแต่อยู่ที่เสียงหัวเราะในบ้านหวานแค่ไหน
.
#ความสุขไม่ใช่ได้ขับรถหรูเพียงใดแต่อยู่ที่ขับรถกลับถึงบ้านได้ปลอดภัย
.
#ความสุขไม่ใช่มีคนรักสวยแต่อยู่ที่รอยยิ้มของคนรักสดใสเพียงใด
.
#ความสุขไม่ได้อยู่ที่ได้ฟังคำหวานมากหรือน้อยแต่อยู่ที่ยามโศกเศร้าเสียใจมีคนบอกฉันว่า ไม่เป็นไร มีฉันอยู่!

#getmore

โพสต์ล่าสุด

เมนู